หลายคนอาจสงสัยกันใช่ไหมคะว่า ขนมโตเกียวนี้ มีที่มาอย่างไร ลิน มีคำตอบมาให้ทุกคนได้รู้กันค่า
ขนมโตเกียว ถือกำเนิดขึ้นที่ห้างไดมารุ (ย่านราชประสงค์) โดยชื่อของขนมโตเกียว มาจากชื่อเมืองโตเกียวในประเทศญี่ปุ่น
และอีกหนึ่งข้อสันนิษฐานคือ คำว่าโตเกียว เพี้ยนมาจาก คำว่าโรเนียว นั่นเองโดยขนมโตเกียวจะมีลักษณะคล้ายกับขนมโดรายากิ เพียงแต่มีแป้งที่บางกว่าและห่อเป็นไส้ต่าง ๆ เช่น ไส้กรอก ไส้ครีมรสหวาน เป็นต้น
กิมจิ รสชาติอมเปรี้ยว ตามรอยคอซี่รี่ย์ของหลาย ๆ คน มีที่มาอย่างไร มาดูกันค่า เนื่องจากในประเทศเกาหลีมีอากาศที่หนาวจัดไม่เหมาะกับการเพาะปลูก การถนอมอาหารวิธีนี้จึงถูกคิดค้นขึ้น โดยคำว่ากิมจิ เพี้ยนมาจากคำว่า ชิมเช ที่แปลว่าผักดอง ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวเกาหลีที่เกิดจากการหมักพริกและผักต่าง ๆ ค่ะ
โมจิ ขนมหวานนุ่มหนึบ ของโปรดของใครหลาย ๆ คน แต่รู้กันรึเปล่าคะ ว่ามันมีที่มาอย่างไร มาดูที่มากันค่า เชื่อกันว่า “โมจิ” มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน และแพร่หลายไปยังประเทศญี่ปุ่น ในช่วงศตวรรษที่ 10 ชาวญี่ปุ่นเรียกขนมชนิดนี้ว่า “โมจิ” โมจิ ทำมาจากข้าวญี่ปุ่นที่นำไปนึ่งแบบผ่านไอน้ำ จากนั้นนำไปตำจนเป็นก้อนเหนียวๆและนำมาแบ่งเป็นก้อนพอดีคำ แล้วนำมารับประมานกับน้ำตาลผสมกับแป้งถั่วเหลืองหรือโชยุผสมกับหัวไชเท้าบดละเอียด
France
France
Legend has it that this jam comes from Marie malate, in French meaning “ill Mary”. The phrase refers to an event when Mary Stuart or Mary the Queen Of Scotland (1542-1587) used this food to relieve seasickness while traveling from Scotland for a Marriage in France
Marmalade
marmalade
Originally, the word Marmalade was derived from Marmelada or ‘marmelada’, a Portuguese dessert. It looks like red jam with quince as the main ingredient, with the word Quince in Portuguese Pronounced as Marmelo.
ครัวซองต์ กลายเป็นขนมอบที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในช่วงที่ผ่านมา นอกจากครัวซองต์รูปร่างหน้าตาปกติแล้ว ยังมีหนึ่งในเทรนด์ที่เรียกว่า “Croffle” เป็นครัวซองต์แนวใหม่ที่ใช้การอบแบบวาฟเฟิล ซึ่งกำลังมาแรงสุด ๆ เช่นกัน Croffle คืออะไร? ชื่อเรียกนี้มีที่มาง่าย ๆ แค่หยิบจับเอาคำว่า Croissant มาบวกกับ Waffle นั่นก็เพราะว่ามันมาจากการนำแป้งครัวซองต์แบบสำเร็จรูปมาอบในเครื่องทำวาฟเฟิลแทนการอบในเตาอบเบเกอรีทั่วไป ทำให้เราได้ขนมแบบใหม่ที่มีเนื้อแป้งนุ่มฉ่ำเนยหอม ๆ แต่มีลักษณะเป็นรังผึ้งแบบวาฟเฟิลนั่นเอง Croffle มาจากไหน? จุดเริ่มต้นนั้นกลับพบว่า Croffle เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี 2017 โดยเชฟเบเกอรีชาวไอริชผู้มีชื่อว่า Louise Lennox เขานำแป้งครัวซองต์ชุ่มเนยไปวางลงในเตาวาฟเฟิลเป็นเวลา 4-5 นาที ความร้อนจากเตาวาฟเฟิลทำให้เนื้อแป้งพัฟมีความกรอบ และเนื้อแน่นกว่าการอบในเตาอบทั่วไป หลังจากนั้นเป็นต้นมา Croffle ก็กลายเป็นหนึ่งในเมนูที่แทบทุกคาเฟ่ในโลกตะวันตกจะต้องมี อย่างไรก็ตาม Croffle ยังคงเอกลักษณ์ของครัวซองต์ไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม สามารถรับประทานได้ทั้งแบบคาว และหวาน จะกินกับแฮม หรือราดไซรัปก็เอร็ดอร่อยได้ทั้งคู่
เป็นขนมไทยพื้นบ้านของชาวไทย ที่รู้จักกันทั่วทุกภูมิภาค แต่ละพื้นที่จะมีสูตรและเคล็ดลับที่แตกต่างกันไป มีลักษณะเด่นคือการปั้นแป้งเป็นลูกกลม ๆ และนำไปต้มกับน้ำเดือด ก่อนที่จะตักรับประทานคู่กับน้ำเชื่อมหรือน้ำกะทิ โดยแต่ละสูตรของแต่ละภูมิภาคก็แตกต่างกัน และพบการใส่ไข่ไก่ หรือ ไข่เค็มเฉพาะไข่แดง กลายเป็นเมนูบัวลอยไข่ได้อย่างลงตัว THE STORY OF “ขนมบัวลอย” โดยขนมบัวลอยสูตรที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย คือ ของนางกวยอัตจักร์ ซึ่งเป็นชาวอีสานและมีภูมิลำเนาเป็นคนบ้านโนนศิลา อำเภอโนนศิลาโดยกำเนิด ได้รู้จักวิธีการทำขนมบัวลอยมาเมื่อครั้งยังเป็นสาว โดยได้เรียนรู้จากแม่ และเริ่มปรับปรุงพัฒนารูปแบบ ส่วนผสม ตลอดจนการรู้จักดัดแปลงหรือนำเอาวัสดุธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาเป็นส่วนผสม เช่น ใบเตย ดอกกุหลาบ หรือดอกอัญชัน มาคั้นเอาน้ำไปผสมกับแป้งเพื่อให้ได้สีสันที่สวยงาม น่ารับประทาน
เป็นขนมที่มีลักษณะเป็นก้อนกลม มีสีเหลืองอ่อน ทำด้วยแป้งมัน แล้วนำไปทอด รสชาติหอมหวานมัน ข้างนอกจะมีสัมผัสที่แข็ง และเนื้อข้างในนุ่ม นิยมขายตามร้านกล้วยทอด เผือกทอด มันทอด ข้างทาง บางพื้นที่อาจจะเรียกว่าอีกชื่อหนึ่งว่า “ขนมไข่เต่า” THE STORY OF “ขนมไข่นกกระทา” เป็นขนมที่เป็นที่นิยมมากในอดีตตั้งแต่สมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา แม้กระทั่งรัตนโกสินทร์ จนถึงปัจจุบันเพราะสามารถทำได้ง่าย ราคาถูก และมีรสชาติติดปาก รับประทานง่าย หาซื้อได้ง่ายนั่นเอง
คอร์นดอก เป็นฮอตดอกที่เสียบไม้และเคลือบด้วยแป้งข้าวโพดคอร์นมีลแล้วนำไปทอด โดยนิยมรับประทานเป็นอาหารจานด่วนหรืออาหารข้างถนน มักรับประทานเปล่า ๆ แต่บางครั้งอาจรับประทานกับมัสตาร์ดก็ได้ THE STORY OF “คอร์นดอก” มีแหล่งกำเนิดจากสหรัฐอเมริกา โดยคอร์นดอกมักนำบริโภคในรูปแบบอาหารข้างถนนหรืออาหารจานด่วน และผู้จำหน่ายมักจุ่มคอร์นดอกแล้วเสิร์ฟให้ผู้บริโภคทันทีเพื่อที่จะให้มีอุณหภูมิที่ยังร้อนอยู่ในสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา มักมีคอร์นดอกสำเร็จรูปจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตในรูปแบบแช่แข็ง ซึ่งผู้ซื้อสามารถนำไปอุ่นแล้วรับประทานได้ คอร์นดอกแบบแช่แข็งบางชนิดสามารถนำไปทอด หรือ อบในเตาอบหรือในเตาอบไมโครเวฟก็ได้เช่นกัน
เป็นอาหารที่นิยมในญี่ปุ่น และผู้คนต่างก็ทำรับประทานเองที่บ้านกันบ่อย ๆ โดยคนญี่ปุ่นมักจะเพิ่มผัก ได้แก่ แครอท มันฝรั่ง หัวหอม และเนื้อสัตว์ลงไปในซอสแกงกะหรี่เข้มข้นที่พวกเขาเตรียมไว้ THE STORY OF “แกงกะหรี่ญี่ปุ่น” แกงกะหรี่ญี่ปุ่นนั้นมีที่มาจากมาซาลา ซึ่งเป็นเครื่องเทศผสมอย่างหนึ่งของอินเดีย ในช่วงยุคอาณานิคมในอินเดีย ชาวอังกฤษได้นำเครื่องเทศผสมนี้กลับไปยังประเทศของพวกเขา ซึ่งในที่สุดเครื่องเทศนี้ก็ได้กลายมาเป็นผงกะหรี่ จากนั้นผงกะหรี่ก็ได้แพร่หลายมายังญี่ปุ่นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่สิบเก้าและแกงกะหรี่ญี่ปุ่นก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในตอนนั้นเอง
เป็นพายที่ทำมาจากกล้วย, ครีม และ ทอฟฟี (จากนมข้นหวาน หรือ ดุลเซเดเลเช) วางไว้บนฐานด้านล่างซึ่งทำจากบิสกิต และเนย ในบางครั้งอาจมีการผสมช็อกโกแลต หรือ กาแฟ หรืออาจจะทั้งสองอย่างลงไปด้วย . THE STORY OF “พายบานอฟฟี” ผู้คิดค้นพายบานอฟฟี คือ นิเกล แม็กเคนซี และ เอียน ดาวดิง ซึ่งพวกเขาเป็นเจ้าของและพ่อครัว ในร้านอาหารเดอะฮังกรีมังก์ ในเมืองเจวิงตัน อีสต์ซัสเซกซ์ โดยพวกเขาระบุว่าเขาได้คิดค้นพายนี้ขึ้นมาในปี พ.ศ. 2514 โดยแก้ไขสูตรมาจาก “พายบลัมส์คอฟฟีทอฟฟี” ซึ่งเป็นพายอเมริกัน โดยใส่ทอฟฟีเหลวกับนมข้นหวาน หลังจากได้มีการเปลี่ยนส่วนผสมจากแอปเปิลหรือส้มแมนดาริน แม็กเคนซีได้ใช้กล้วยแทน และตั้งชื่อว่า “พายบานอฟฟี”